ผมเป็นคนวัย Gen X ซึ่งเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน หลายคนก็มีลูกเรียนมหาวิทยาลัยกันแล้ว ส่วนผมเองก็ช่วยพ่อแม่ (Gen Baby Boomer) ค้าขายมาตั้งแต่อายุ 16 ปี จนมาช่วงอายุประมาณ 26 ปี ก็ลาออกจากบริษัทฯ กลับมาช่วยกิจการครอบครัวเต็มตัว

ในตอนนั้น พ่อแม่เริ่มขายของให้กับบริษัทต่างๆ มากขึ้น และหนึ่งในงานสำคัญที่ผมรับหน้าที่คือ “การทำใบเสนอราคา” ซึ่งไม่ใช่แค่เขียนราคาใส่กระดาษส่งๆ ไปให้จบๆ แต่เป็นกระบวนการที่ต้อง คิด วิเคราะห์ และสื่อสารให้ชัดเจน ว่าลูกค้าต้องการอะไร ปริมาณเท่าไหร่ มีเงื่อนไขอะไรพิเศษหรือไม่ เพราะเรารู้ว่า ใบเสนอราคาที่ดีคือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจที่ตรงกัน และความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ

แต่พอเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ผมกลับพบว่า… หลายครั้งที่คนรุ่นใหม่ “สักแต่ขอใบเสนอราคา” ขอแค่มีเอกสารแนบให้ครบตามระบบ โดยไม่ให้รายละเอียดใดๆ กับผู้ขาย แล้วก็หวังว่าจะได้ใบเสนอราคาที่ถูกต้องครบถ้วนทันที

ผลที่ตามมา คือเสียทั้งเวลา และเสียภาพลักษณ์ขององค์กรไปแบบไม่รู้ตัว…

ผมไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้เขาทำใบเสนอราคากันยังไง แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน ใบเสนอราคาจะต้องมี

  • ชื่อบริษัทฯ
  • ชื่อผู้ติดต่อ
  • รายการสินค้า/บริการที่ต้องการ พร้อมจำนวน
  • ราคาต่อหน่วย / ราคาต่อรอง (ส่วนลด/ราคาส่ง)
  • เงื่อนไขการชำระเงิน / วันที่ต้องชำระเงิน
  • การวางเงินมัดจำ
  • วันรับของ / วันส่งของ
  • เงื่อนไขอื่นๆ ที่ตกลงกันไว้

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่รูปแบบ แต่คือหลักการค้าแบบพื้นฐาน ที่สอดคล้องกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะ “ใบเสนอราคา” ก็คือ ใบสั่งซื้อล่วงหน้า หรือเปรียบเสมือน “สัญญาทำของ” นั่นเอง

ผมไม่กล้าฟันธงว่าเด็กรุ่นใหม่ Gen Y, Gen Z เขาค้าขายกันยังไง เพราะต้องยอมรับว่าเด็กสมัยนี้เก่งจริง หาเงินเก่ง ตั้งบริษัทฯ ได้ตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว — น่ายกย่องมากๆ

แต่สิ่งเล็กๆ อย่าง “การทำใบเสนอราคาให้ถูกต้อง” ก็ควรเรียนรู้และทำให้ถูกต้องเช่นกัน เพราะมันสะท้อนความเป็นมืออาชีพ

ผมเองก็เป็นแค่พ่อค้าร้านธรรมดาเล็กๆ คนหนึ่ง ทำงานตัวคนเดียว หาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีทีมงานอะไรมากมาย อายุเยอะแล้ว สมัครงานก็ไม่มีใครรับ ยุคสมัยก็เปลี่ยนไป จากเคยเร่ขายของตามตลาดนัด ก็ต้องปรับตัวมาขายออนไลน์

โพสต์นี้ ก็แค่เรื่องเล่าจากอดีตของพ่อค้าคนหนึ่ง ที่หวังว่า จะเป็นประโยชน์กับใครบางคน… ไม่มากก็น้อยครับ